วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

ตรีผลา - สมุนไพร และโอกาสในการป้องกันรักษามะเร็ง

๑๒ มกราคม ๒๕๕๓
มะเร็ง โรคที่น่ากลัวในปัจจุบัน ทุกๆ ๖ วินาที ทั่วโลกจะมีผู้คนเสียชีวิตด้วยโรค มะเร็ง ๑ คน จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

มีความพยายามเป็นอย่างมาก ที่จะใช้วิธีการอื่น (หรือใช้แผนปัจจุบันร่วมกับวิธีการอื่น) ในการจัดการกับโรคมะเร็ง เช่น ความรู้จากแพทย์แผนไทย จีน อินเดีย ฯลฯ แสวงหาพืชสมุนไพร ที่เชื่อว่ามีสรรพคุณ ป้องกัน และรักษามะเร็ง  สมุนไพรไทยในตำรับยา "ตรีผลา" ก็เป็นหนึ่ง ในตัวเลือกอันนั้น

มะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ ๑ ของพี่น้องคนไทย การรักษาแบบแผนปัจจุบัน ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี เคมีบำบัด สามารถทำลายก้อนมะเร็ง ได้ดีมาก แต่ขณะเดียวกันก็ทำลายเซลปกติของร่างกายด้วย

- หากโชคดี ก็หาย และมีชีวิตยืนยาวต่อไป ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีพอสมควร
- หากโชคดีน้อยหน่อย ก็จะหายเช่นกัน แต่เกิดผลข้างเคียงตามมา อาจมีเจ็บปวด ทรมานบ้าง แต่ก็มีชีวิตยืนยาวต่อไป ด้วยคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีนัก
- หากโชคร้าย แน่นอนก็เสียชีวิตไป เป็นธรรมดา

ก่อนที่จะไปเรื่องโอกาสของ ตรีผลา ในการป้องกัน และรักษามะเร็ง เรามาพูดกันเรื่อง ยาสมุนไพรตำรับนี้ คืออะไร เสียก่อน ก็แล้วกันครับ

ตรีผลา เป็นยาสมุนไพรที่มีส่วนผสมของ  ลูกสมอไทย  ลูกสมอพิเภก และ มะขามป้อม 


วงการแพทย์แผนไทย และแพทย์อายุรเวทอินเดีย รู้จักยาสมุนไพรตำรับนี้ มาตั้งแต่ครั้งโบราณ เป็นยาที่มีสรรพคุณช่วยรักษาความสมดุลธาตุทั้ง ๔ ของร่างกาย สามารถล้างพิษออกจากระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด และระบบน้ำเหลือง และเป็นยาที่ปลอดภัยไร้ ผลข้างเคียงใดๆ

คัมภีร์วรโยคสาร ของแพทย์แผนไทย ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าตรีผลาเป็นยาสำหรับลดความอ้วน เพราะเป็นยาที่สามารถลดมวลของร่างกายได้ คือทำหน้าที่เป็นยาระบาย และลดการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกายโดยที่ร่างกายไม่สูญเสียน้ำและ สารอาหารจน เกิดอันตราย

เราจะมาดู สรรพคุณของผลไม้สมุนไพรที่ใช้ทำยานี้กันครับ สรรพคุณของสมุนไพรที่ผมจะนำมาให้ดูนั้น  บางครั้งอาจจะดู เว่อร์ๆ ไปหน่อย ผมขอเรียกว่า ฝอยสมุนไพร (สมัยก่อน สรรพคุณของยา (leaflet) เขาเรียกว่า ฝอยยา คุ้นไหมครับ?) ก็อ่าน ผ่านๆ ไปก็แล้วกัน (ผมจะเอาออกไป ก็คงไม่ดี) อะไรที่รู้สึกว่าเป็นสมัยใหม่หน่อย ก็ตั้งคำถามไว้บ้าง ก็คงจะดี อย่างเช่นระบุว่า แก้อาการแพ้ หืด และไซนัสเรื้อรัง ผมคิดว่าน่าจะมีการเพิ่มเข้าไป ในตอนหลังๆ มากกว่า ครับ

สมอไทย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terminalia chebula Retz. จัดอยู่ในวงศ์ COMBRETACEAE เนื่องจากมีสารพวกแทนนิน [tannin - แทนนินมีคุณสมบัติเป็นยาฝาดสมาน (Astringent) ใช้เป็นส่วนผสมของยาแก้ท้องเสีย หรือใช้กับบาดแผลที่ผิวหนัง] จึงใช้เป็นยาสมาน แก้ลมจุกเสียด ยาเจริญอาหาร ยาบำรุง เป็นยาชง-อมกลั้วคอ แก้เจ็บคอ (น้ำต้มสมอไทย ผสมเกลือเล็กน้อย ใช้อมบ้วนปาก จะช่วยรักษาแผลในปากได้ดี ใช้รักษาโรคฟันและเหงือกเป็นแผล) ใช้ภายนอก-บดเป็นผงละเอียดโรยแผลเรื้อรัง

ลดอาการไอ แก้อาการแพ้ หืด และไซนัสเรื้อรัง ขับน้ำเหลืองเสีย เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้พิษร้อนภายใน  แก้ลมป่วง ระบายลม รู้ถ่ายรู้ปิดเอง คุมธาตุในตัวเสร็จ ถ่ายพิษไข้  บำรุงสุขภาพ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

ในประเทศอินเดีย สารสกัดจากสมอไทยใช้ในการรักษาโรคหลายชนิด เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร อาการอาหารไม่ย่อย โรคระบบทางเดินปัสสาวะ โรคเบาหวาน (เชื่อกันว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
ช่วยควบคุมน้ำตาล ไม่ให้สูงเกินไป ในผู้ป่วยเบาหวาน) โรคผิวหนัง โรคพยาธิ โรคหัวใจ อาการไข้เป็นระยะ อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก แผลในทางเดินอาหาร อาเจียน อาการเจ็บปวดในลำไส้ และริดสีดวงทวารหนัก

นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัส และแบคทีเรียบางชนิด บำรุงหัวใจ ต้านอนุมูลอิสระและชะลอความชรา นอกจากนี้ ยังช่วยควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด และช่วยการทำงานของตับในการำจัดไขมันออกจากร่างกาย รวมทั้งกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกายได้อีกด้วย

รสฝาดๆ เปรี้ยวๆ น้ำหนัก เพียง ๑๐๐ กรัม จะมีปริมาณสารอาหารที่ให้พลังงานต่อร่างกายถึง ๓๗๘ กิโลแคลลอรี่ (คนเราปกติต้องการพลังงานราววันละ ๒๒๐๐ กิโลแคลลอรี่ ดังนั้นถ้ากินสมอไทยครึ่งกิโลกรัม ก็จะได้แคลลอรี่ขั้นต่ำต่อวัน)

ใน ๑๐๐ กรัม นั้นประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตถึง ๘๘.๒ กรัม มีโปรตีน ๑๔๐๐ มิลลิกรัม(มก.) ไขมัน ๕๐๐ มก. และมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ถึง ๓๕๐๐ มก.นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ ต่อร่างกายหลายชนิด ได้แก่ วิตามินบี ๖ วิตามินบี ๑๒ กรดโฟลิก ไนอาซิน ไบโอติน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โปแตสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง สังกะสี และยังมีไอโอดีนอย่างเดียวกับ ที่มีอยู่ในอาหารทะเลอีกด้วย

สมอพิเภก
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Terminalia belerica (Gaertn.) Roxb. จัดอยู่ในวงศ์ COMBRETACEAE เป็นไม้ผลัดใบ มีตั้งแต่ขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ ผลมีลักษณะเป็นรูปแบบผลมะละกอ ตรงกลางค่อนข้างจะป่อง
มีขนาดกว้างประมาณ ๑.๕ - ๒ ซ.ม. ยาว ๒.๕ - ๓  ซ.ม. มีอยู่ ๕ เหลี่ยม ผิวนอกเป็นขนสีน้ำตาลปกคลุมหนาทึบ ส่วนที่นิยมใช้เป็นยาคือผลแก่ มีรสเปรี้ยว ฝาดหวาน เป็นยาระบาย บำรุงธาตุ แก้เสมหะจุกคอ แก้โรคตา แก้ไข้ แก้ริดสีดวงทวาร ผลห่าม ของสมอพิเภกนั้น มีน้ำมันที่ออกฤทธิ์ คล้ายน้ำมันระหุ่ง เป็นยาระบาย ส่วนผลสุกมีสารสำคัญ ที่กระตุ้นการหลั่งน้ำดี ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหาร การทำงานได้ดีขึ้น

มะขามป้อม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus emblica Linn. จัดอยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพบได้ในป่าเบญจพรรณแล้งหรือป่าแดง ผลมีลักษณะกลม มีรอยแยกแบ่งออกเป็น ๖ กลีบ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ ซ.ม. ผิวนอกขรุขระมีสีน้ำตาล ส่วนหัวมีรอยขั้วก้านผล เนื้อผลเหนียวแตกยาก เนื้อในมีสีเหลืองอ่อน มีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ภายใน ผลแห้งที่ดีควรมีขนาดใหญ่ อวบอิ่มและแห้งไม่มีก้านผลติดมา นิยมใช้ผลแก่ซึ่งมีรสเปรี้ยว ฝาดขม เป็นยาแก้ไอ แก้เสมหะ ทำให้ชุ่มคอ

ปัจจุบันยังพบว่ามะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก แก้พิษสารตะกั่วได้ ตามตำรับยาแผนโบราณใช้เปลือกลำต้น โดยใช้เปลือกที่แห้งแล้วบดให้เป็นผงละเอียด โรยแก้บาดแผลเลือดออกและแผลฟกช้ำ ใช้ใบสดมาต้มกินแก้บวมน้ำ นำใบมาตำพอกหรือทาบริเวณแผล ผื่นคันมีน้ำหนองน้ำเหลือง และผิวหนังอักเสบ

ใช้ผลสดเป็นยาบำรุงทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้ไอ แก้หวัด ช่วยระบายขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามไรฟันและคอแห้ง ผลแห้งตำให้เป็นผงชงกิน แก้โรคหนองใน แก้ตกเลือด ท้องเสีย โรคบิด แก้โรคดีซ่านและโรคโลหิตจาง รากต้มกินแก้ร้อนใน แก้โรคเรื้อน แก้ความดันโลหิตสูง และแก้ท้องเสีย

มีรายงานวิจัยว่ามะขามป้อมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยการไปจับกับโลหะหนัก ซึ่งตะกั่วก็จัดว่าเป็นโลหะหนักชนิดหนึ่ง มะขามป้อมตามความรู้แบบไทยบันทึกไว้ว่ามะขามป้อม ช่วยขับพิษ การกินน้ำมะขามป้อมก็คงจะดี (ถ้าเป็นเบาหวาน ก็ไม่ควรจะใส่น้ำตาล ถ้าเกรงว่าจะไม่อร่อย นิดหน่อยก็พอได้) หรือรับประทานมะขามป้อมสด วันละ ๕ - ๗ ผล

ผลมะขามป้อมมีแทนนิน ที่ละลายน้ำได้ ๒ ชนิดคือ เอมบลิเคนิน เอ & บี ( Emblicanin A&B ) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีความแรงสูงมาก ยิ่งกว่านั้นยังมีวิตามินซีกลุ่มใหม่ ( Ascorbigen ) ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคมะเร็ง

(สนใจเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสสระ ที่มีความเกี่ยวพันกับมะเร็ง ดูบทความเรื่อง "อนุมูลอิสระ และ สารต้านอมุมูลอิสระ" ครับ)

ในระบบแพทย์แผนไทย "ตรีผลา" ใช้ทำอะไร

ตรีผลา เป็นยาสำหรับป้องกัน และรักษาโรคอันเกี่ยวกับ ฤดูกาล ภูมิอากาศ
คัมภีร์แพทย์แผนไทย ได้กล่าวถึง สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไว้หลายประการ และที่สำคัญประการหนึ่งคือ ฤดูกาล ที่เรียกว่า อุตุปรินามชาอาพาธา หมายถึง ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเพราะฤดูกาลแปรเปลี่ยน

อย่างที่รู้กันเมืองไทยเรามี ๓ ฤดู คือ ร้อน ฝน หนาว ยกเว้นภาคใต้มีเพียง ๒ ฤดูแรก แต่ฤดูกาลหลักเห็นจะเป็นฤดูร้อน เพราะภูมิประเทศของไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น แน่นอนความร้อนแล้งของภูมิอากาศย่อมทำให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบ โดยเฉพาะไฟที่อุ่นร่างกาย ชื่อสันต์ปปัคคี ย่อมแปรปรวนเป็นเหตุให้เกิดอาการร้อนใน ร่างกายเสียน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เกิดโรคภัยไข้เจ็บแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น ท้องร่วง บิด ไข้เลือดออก ปวดหัว ตัวร้อน เสียงแห้ง ร้อนใน กระหายน้ำ เป็นต้น

ตรีผลา เป็นมหาพิกัดยา ต้านโรคประจำฤดูต่างๆ คำว่า มหาพิกัดยาในที่นี้ หมายถึง พิกัดยาที่ใหญ่กว่าพิกัดธรรมดา หมายถึงการเอาตัวยาสมุนไพรมากกว่า ๒ ตัวขึ้นไปมารวมกัน โดยน้ำหนักยาแต่ละตัวไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าต้องการ เน้นหนักให้แก้กองฤดูอะไร [กองปิตตะ (ฤดูร้อน)  กองวาตะ (ฤดูฝน)  กองเสมหะ (ฤดูหนาว) ผมใช้ข้อความเดิมจากข้อมูลที่มีครับ อาจจะฟังดูแปลกๆ] ธาตุไหน หรือต้องการแก้โรคแทรกใด (สนใจเกี่ยวกับ ธาตุในร่างกายของคน ดูบทความเรื่อง "ธาตุต่างๆ ในร่างกายคนเรา และ การปรับสมดุล ด้วยอาหาร" ครับ)

หมอโบราณท่านจึงปรุงตำรับยาตรีผลาขึ้นในลักษณะที่เป็นมหาพิกัดสำหรับ แก้ ปิตตะสมุฎฐาน  (เน้นสำหรับแก้ธาตุ ไฟกำเริบในช่วงฤดูร้อน) โดยมีสูตรยา ดังนี้                  

มหาพิกัดตรีผลา   แก้ในกองปิตตะ (ฤดูร้อน) มีสัดส่วน ของตัวยาดังนี้
ลูกสมอพิเภก       หนัก ๑๒  ส่วน   แก้ธาตุไฟ
ลูกสมอไทย หนัก   ๘  ส่วน   แก้ธาตุลม
ลูกมะขามป้อม     หนัก   ๔  ส่วน   แก้ธาตุดิน และธาตุน้ำ

มหาพิกัดตำรับนี้ ใช้ลูกสมอพิเภกมากเป็นพิเศษ เพื่อแก้ธาตุไฟ หรือธาตุร้อนในร่างกาย แต่ใช้ลูกมะขามป้อมเพียงเล็กน้อย เพื่อรักษาธาตุดิน น้ำ หรือธาตุเย็นไว้ ถามว่าทำไมไม่ใช้แต่ลูกสมอพิเภก สำหรับแก้ธาตุไฟเพียงตัวเดียว ก็ตอบได้ว่า ร่างกายคนเรานั้นเสียสมดุลย์ธาตุได้ง่ายมาก ถ้าใช้สมุนไพรเย็นมากเกินไป เพื่อแก้ธาตุร้อน ร่างกายอาจเย็นลงกระทันหัน เกิดเสียสมดุล ธาตุในร่างกายแปรไป (พร่อง หรือ เกิน) ทำให้เจ็บป่วยได้

ลองดูอีก ๒ สูตร สำหรับ ฤดูฝน และ ฤดูหนาว ครับ

มหาพิกัดตรีผลา   แก้ในกองวาตะ (ฤดูฝน) มีสัดส่วน ของตัวยาดังนี้
ลูกสมอพิเภก หนัก   ๔  ส่วน
ลูกสมอไทย หนัก  ๑๒  ส่วน
ลูกมะขามป้อม หนัก   ๘  ส่วน

มหาพิกัดตรีผลา   แก้ในกองเสมหะ (ฤดูหนาว) มีสัดส่วน ของตัวยาดังนี้
ลูกสมอพิเภก       หนัก   ๘  ส่วน
ลูกสมอไทย        หนัก   ๔  ส่วน
ลูกมะขามป้อม     หนัก ๑๒  ส่วน

เพื่อให้ ตรีผลา มีสรรพคุณ ครอบคลุมป้องกัน แก้ไขโรค ในทุกฤดูกาล หมอโบราณท่านว่า ให้ใช้ ผลไม้ทั้ง ๓ ชนิดอย่างละ เท่าๆ กัน ว่ากันว่า จะทำให้มีสุขภาพดี  ป้องกันโรค และช่วยรักษารูปร่างได้ด้วยนะครับ

การ ปรุงยาตรีผลา มหาพิกัดนี้ ไม่ยาก นำสมุนไพรทั้ง ๓ ตามสัดส่วนที่ต้องการ มาบดเป็นผง ปั้นลูกกลอนขนาด ๒๕๐ มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ ๕ เม็ด ๓ เวลา ก่อนอาหาร เด็กลดลงตามส่วน แต่สำหรับผู้ใหญ่ ที่มีน้ำหนักมากควรใช้ขนาดยา เพิ่มขึ้นเป็น 8 – 10 เม็ดก็ได้

แต่ชีวิตไม่ต้อง ยุ่งยากขนาดนี้ก็ได้ หลายคนก็ใช้วิธีต้ม และเคี่ยว จนเห็นเป็นสีของสมุนไพร เอาน้ำมากินก็เหมือนกัน (เอาผลไม้สมุนไพรที่เป็นตัวยา บดเป็นผง ใส่แคปซูลกินก็ได้ เดี๋ยวนี้สมุนไพรที่เป็นผงก็มีขายแล้ว)

ตรีผลา มีแอนติออกซิแดนต์สูง โดยเฉพาะกลุ่มวิตามินซีและฟลาโวนอยด์
ผมมีข้อมูลผลการวิจัย ของคณะแพทย์ธรรมศาสตร์ เรื่องตรีผลาสามารถยับยั้งการเจริญ เติบโต ของเซลล์มะเร็งให้ดู ที่  http://video.sanook.com/ผลการวิจัยตรีผลา-402346-player.html ครับ

การวิจัยนี้ เริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๗  คณะผู้วิจัยกล่าวว่า จากการศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบ และระงับอาการปวดของสมุนไพรไทย ๕ (๓ + ๒) ชนิด ได้แก่ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก (ยอ และหญ้าปักกิ่ง) พบว่าสมุนไพร ๓ ชนิดแรก (ซึ่งก็คือ ตรีผลา) สามารถยับยั้งการเจริญเติบโต และสามารถฆ่าเซลล์มะเร็ง ที่ทีมวิจัย เพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการวิจัย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซ็นต์  (แต่ยังไม่ได้ศึกษาในสัตว์ และผู้ป่วยจริง) ได้แก่ เซลล์มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก รังไข่ ลำไส้ และเต้านม ซึ่งล้วนเป็นมะเร็งสำคัญอันดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตคนไทย และประชากรโลกปีละหลายล้านราย

คณะผู้วิจัยเชื่อว่า ผลการวิจัยนี้ สามารถปูทาง ใช้ผลิตเป็นยาสยบมะเร็งสำคัญๆ ที่คร่าชีวิตคนไทย ทั้งมะเร็งตับ ปอด ปากมดลูก และมะเร็งอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน

สรุปจากข้อมูล ในหลายๆ แห่ง  มีความเชื่อว่า ตรีผลา สามารถ
๑. ล้างพิษ ระบบน้ำเหลือง  ชำระเมือกมันในลำไส้
๒. ลดน้ำหนัก ลดมวลไขมันออกจากร่างกาย
๓. ป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งอื่นๆ
๔. ชลอความแก่ จากสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนติออกซิเดนท์)
๕. ช่วยป้องกัน และบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน หวัด วัณโรค เป็นต้น






นอกจากนี้ยังมี อีกตำรับหนึ่งที่ชื่อ "จตุผลาธิกะ" เป็น ผลไม้สมุนไพร รวม ๔ ชนิด โดยเพิ่ม สมอเทศ (Terminalia arjuna) เข้าไป เล่ากันว่าจารึกไว้ในแผ่นศิลาที่วัดโพธิ์ ยาแผนไทยตำรับนี้ มักใช้แก้โรคเกิดจากไข้ แก้เสมหะ แก้ท้องผูก 


จากการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบว่า "ตุผลาธิกะ" อุดมด้วยแอนติออกซิเดนท์ (Antioxidant) หลายชนิด มีคุณสมบัติในการกำจัดอนุมูลอิสระได้สูงมาก ดังนั้น จึงสามารถช่วยล้างพิษจากอนุมูลอิสระได้ ทำให้ผิวพรรณดี ลดริ้วรอยต่างๆ ทำให้ดูอ่อนวัย 


สมุนไพรทั้ง ๔ ชนิด นี้มีสารที่เหมือนกันอยู่คือ Gallic acid ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งสมานผิว และกำจัดสารอนุมูลอิสระ [มีสูตรทางเคมีคือ C6H2(OH)3COOH]  Gallic acid พบทั้งที่เป็นอิสสระ และที่เป็นส่วนหนึ่งของ Tannins มีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส และแบคทีเรียบางชนิด  ป้องกันร่างกายจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระ มีผลร้ายต่อเซลมะเร็ง แต่ไม่ทำร้ายเซลปกติ มีผลลดการรั่วของโปรตีน ในปัสสาวะได้ และสามารถใช้ในการรักษาเบาหวาน 


ในสมอทั้งสาม พบว่ามี Ellagic acid ซึ่งเป็นแอนติออกซิเดนท์ อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งเอ็นไซม์ไทโรซิเนส (ช่วยให้ผิวขาวปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ)


"จตุผลาธิกะ" ก็เป็นอีกตำรับหนึ่งที่น่าใช้


ผมว่าข้อมูลเหล่านี้ ดูดีนะครับ หากทางการแพทย์ และสาธารณสุข บ้านเรา ไม่เน้นหนักไปที่ แพทย์แบบแผน (แผนปัจจุบัน) จนมากเกินไป เราคงจะได้รับรู้เรื่องดีๆ และวิธีการทางแพทย์ใหม่ๆ ซึ่งอิงจากแพทย์แผนไทย แผนตะวันออก และภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่เราละเลย และเดินหนีห่างออกไปเรื่อยๆ

แต่ตอนนี้ก็น่าดีใจนะครับ ที่เห็นมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เปิดสอนเรื่องแพทย์แผนไทยไปแล้ว ที่กังวลก็คือ สมัยเดิม การรักษาพยาบาลนั้น ผู้รักษา รักษาด้วยใจเมตตาเป็นที่ตั้ง ไม่่ใช่แพทยพาณิชย์

ตอนนี้หลายคนคงจะรับรู้ราคาของยาสมุนไพร และ สมุนไพรต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ควรจะมีราคาไม่แพงนัก ขยับราคาขึ้นไปเทียบกับของที่มาจากระบบอุตสาหกรรม ซึ่งมีราคาของการตลาด ราคาบรรจุภัณฑ์ บวกกำไร และค่าอะไรต่อมิอะไรอื่นๆ รวมเข้าไปด้วย

แนวคิดที่ว่า ของดีต้องแพง ของถูกไม่ดี กำลังจะเข้าไปปรับใช้กับสินค้าสมุนไพร และยาสมุนไพร แล้วครับ

ว พชร


ข้อมูล และฝอยต่างๆ ที่ผมเขียน และเรียบเรียงนี้ ผมประมวล และ รวบรวมมาจาก
http://health.deedeejang.com www.samunpri.com www.thaihof.org (มูลนิ ธิสุขภาพไทย – บทความจากมติชนสุดสัปดาห์)
และ อื่นๆ ที่ผมจำไม่ได้ว่ามาจากไหน ขอขอบคุณอย่างสูง สำหรับข้อมูลและรายละเอียดทั้งหมดครับ

15 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ6 พฤษภาคม 2553 เวลา 10:24

    รสเปรี้ยว ฝาด ค่ะ แต่ทานได้ค่ะ ตัดเกลือ และน้ำตาลนิดหน่อย ช่วยเรื่องขับถ่ายได้ดีมาเลยค่ะ เห็นผลในวันแรกเลยค่ะ แต่อยากถามถ้าเข้มข้นไป ทานมากไปเป็นอะไรต่อร่างกายรึเปล่าค่ะ ขอบคุณมากค่ะ (สมุนไพรที่ต่อสุขภาพเสมอ)

    ตอบลบ
  2. ผมต้องขอโทษ เพราะผมไม่ใช่หมอแผนโบราณ ได้รับรู้เรื่องพวกนี้ จากการอ่าน และสอบถามผู้รู้เท่านั้นครับ จากข้อมูลที่มี ไม่น่าจะเป็นอะไรนะครับ เพราะเป็นผลไม้ที่เรากินได้ทั้งหมด ถ้ามากไปอาจจะถ่ายมากไปนิด แต่ขอให้ปรับให้เข้าตัวเอง ในข้อมูลที่มีระบุว่าถ้าตัวเล็กน้ำหนักน้อย ก็กินได้น้อย แต่ถ้าน้ำหนักมากก็ต้องเพิ่มให้มากขึ้นครับ หากสนใจเรื่องการใช้สมุนไพร ข้อมูลจากที่นี่ www.thaihof.org ดีมากเลยครับ

    ตอบลบ
  3. เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์จะนำมาใช้บ้าง ขอบคุณ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ4 กันยายน 2554 เวลา 19:57

    แล้วถ้าจะลดความอ้วนต้องทานอันไหนดีคะ

    ตอบลบ
  5. หมอโบราณท่านว่า ให้ใช้ ผลไม้ทั้ง ๓ ชนิดอย่างละ เท่าๆ กัน ว่ากันว่า จะทำให้มีสุขภาพดี ป้องกันโรค และช่วยรักษารูปร่างได้ด้วย
    มีคนผลิตขายเป็นแคปซูลแล้วครับ
    ต้องขอโทษที่ไม่มีอะไรเพิ่มเลยใน Blog นี้ อายุมากขึ้นก็เลยขี้เกียจมากขึ้น อีกอย่างเหมือนไม่ค่อยมีคนดูน่ะ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ2 มกราคม 2555 เวลา 20:56

    ทานมาประมาณหนึ่งเดือน ชนิดแคปซูล เพราะมีไขมันในตับสูง แต่ควบคู่ไปกับระวังอาหาร รู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น ปวดเมื่อยตามตัวแทบไม่มี คงต้องรอดูผลเวลาไปตรวจเลือด อายุหกสิบกว่าแล้วตั้งใจจะทานตลอดไป

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ4 พฤษภาคม 2555 เวลา 01:30

    อยากทานค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าที่เค้าผลิตขายกันเป็นแคปซูลนั้น จะเป็นของแท้และไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือเปล่าค่ะ ไม่ทราบมีแนะนำแหล่งหรือเปล่าคะ ขอบพระคุณสำหรับความรู้ที่มีประโยชน์ค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผมชอบซื้อของห้างขายยา สองหมอโอสถ ที่ท่าพระจันทร์ ตรงข้ามธรรมศาสตร์ ผมเรียนที่ธรรมศาสตร์ ก็เลยเห็นมานานครับ ห้างขายยาจริงๆ อยู่ที่ เมืองนนทบุรี ซื้อของไม่กี่อย่าง ไปเองอาจไม่สะดวกลองโทร 084 6666 929, 02 221 2745 มีส่งทางไปรษณีย์ด้วยครับ

      ลบ
    2. ที่ตอบช้าเพราะ email ไปปรากฏที่ yahoo mail ซึ่งผมไม่ค่อยได้เปิด ผมใช้ gmail.com เป็นพื้นครับ พยายามเหมือนกันที่จะเขียนอะไรเพิ่มใน blog แต่ก็ได้แต่คิด แย่จัง

      ลบ
  8. เพิ่งเริ่มดื่ม หาซื้อที่เชียงใหม่ จัดให้ 150 บ. ต้มได้ 4 ชุด ตัวสมอภิเภกดูเป็นรู เก่ามาก เกรงจะไม่มีคุณภาพ ก็ต้มทานดู ระบายดี พอดี ๆ กะลังกินต่อเพื่อดูผล สามีดื่มแล้วบอกว่าเห็นอะไรอยากทานไปหมด อร่อยไปหมด นั่งเคาะคอมฯ น้ำลายยังไหลในกระพุ้งแก้ม แสดงว่าเจริญอาหารด้วย ทั้งคู่อายุ 60 ปี

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณเจ้าของบล็อกมากค่ะ ให้ความรู้มากๆเลย
    เป็นกำลังใจให้ทั้งเจ้าของบล็อก และทุกคนที่ทานค่ะ

    ตอบลบ
  10. จำหน่ายน้ำมันรำข้าว, น้ำมันมะพร้าวบรรจุเม็ด , ตรีผลาและสมุนไพรบรรจุเม็ดแคปซูล ราคาขายส่ง สนใจติดต่อ 081-830-8832

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ11 พฤษภาคม 2557 เวลา 18:50

    ทานจตุผลาธิกะแบบแคปซูลมาประมาณ 3 เดือน น้ำหนักลดจริงๆค่ะ ตอนนี้กำลังเริ่มทานแบบน้ำอยู่ค่ะ พอดีไปตากแดดมาทั้งวันแล้วทานจตุผลาธิกะแบบน้ำไป 2 วันรู้สึกเลยคะว่าผิวใสขึ้น

    ตอบลบ
  12. ขอบคุณครับ จตุผลาธิกะของผมครบอายุหนึ่งปีแล้ว กลิ่นเริ่มหอมนำมาผสมตามสัดส่วน เติมน้ำสะอาด น้ำผึ้งนิดหน่อยเพื่อให้ชวนดื่ม เสมหะน้อยลงมาก ท้องเริ่มยุบบ้าง ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

    ตอบลบ
  13. ขอบคุณครับ จตุผลาธิกะของผมครบอายุหนึ่งปีแล้ว กลิ่นเริ่มหอมนำมาผสมตามสัดส่วน เติมน้ำสะอาด น้ำผึ้งนิดหน่อยเพื่อให้ชวนดื่ม เสมหะน้อยลงมาก ท้องเริ่มยุบบ้าง ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

    ตอบลบ